
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 10 ส.ค.64 ปิดที่ 1,542.62 จุด เพิ่มขึ้น 2.43 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 81,611.14 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,910.08 ล้านบาท
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นยังอยู่ในสภาวะเปราะบาง ตั้งแต่เกิด Covid-19 ในช่วงต้นปี 63 ถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยถูกหล่อเลี้ยงด้วยสภาพคล่องส่วนเกิน
ทั้งจากการกระตุ้นด้วยนโยบายการเงินและการคลังแบบจัดเต็ม สะท้อนได้จาก Money Market Fund ในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนสูงกว่าปกติมากล่าสุดอยู่ที่ 5.1 ล้านล้านเหรียญ (ระดับก่อน Covid-19 อยู่ 4.02 ล้านล้านเหรียญ และระดับปกติก่อนสงครามการค้าอยู่ราว 3 ล้านล้านเหรียญเท่านั้น)
เม็ดเงินที่เข้ามาในระบบ ส่วนหนึ่งค่อยๆหนุนตลาดหุ้นทั่วโลกให้ Outperform และอยู่สูงกว่าระดับก่อน Covid-19 มาก อาทิ ตลาดหุ้น Nasdaq ให้ผลตอบแทนสูงกว่าช่วงก่อน Covid ถึง 58%, ตามมาด้วยตลาดหุ้นโลก 29%, ตลาดหุ้นยุโรป 12% และหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนระดับใกล้เคียงก่อนเกิด Covid-19 หรือลดลงเล็กน้อย 3% แต่คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ (ESP64F71.2 บาท/หุ้น) ยังไม่กลับไปเท่าและต่ำกว่ากำไรช่วงก่อน Covid-19 พอสมควร
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นที่ฟื้นขึ้นมาเร็วจากสภาพคล่องล้นระบบ อาจต้องระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยมี 2 ความเสี่ยงหลักที่กดดันและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงต่อจากนี้ 1.ความกังวลการลดสภาพคล่องของ Fed รวมถึงประเด็น Tapering QE น่าจะทยอยมีน้ำหนักมากขึ้น เริ่มจากในการประชุม Jackson Hole Symposium วันที่ 26-28 ส.ค.64 ที่คาด Fed มีโอกาสส่งสัญญาณ QE ที่ชัดเจนขึ้น
2.ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่เร่งตัวขึ้น ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกเฉลี่ย 7 วันย้อนหลัง ล่าสุดอยู่ที่ 6.3 แสนคนต่อวัน (คิดเป็นระดับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 83%) รวมถึงตัวเลขผู้เสียชีวิต 1 หมื่นคนต่อวัน (คิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 71%) ส่วนประเทศที่ฉีดวัคซีน mRNA ปริมาณมากเกือบ 71% ของประชากร อย่างอิสราเอลผู้ติดเชื้อรายวันก็เพิ่มสูงขึ้น มาอยู่ที่ 4.2 พันคนต่อวัน (คิดเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 87%) หากผู้ติดเชื้อยังเพิ่มจะกดดันต่อการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน
สรุปคือ ตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาถูกผลักดันจากสภาพคล่องส่วนเกินเป็นหลัก ขณะที่อุปสรรคข้างหน้ายังมีทั้งการทยอยลดสภาพคล่องลง รวมถึง Covid-19 ระบาดช่วงไตรมาส 3 กดดันเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง
ดังนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้นมากขึ้น แนะ กลยุทธ์หาจังหวะลงทุนหุ้นกลุ่ม Earning Momentum (BAM, BDMS, GPSC, DOHOME, JMART) และหุ้นปันผลสูง (ADVANC, MCS, TVO, TMT)
อินเด็กซ์ 51