ทยอยขึ้นดีเซลครั้งละ 0.50-1 บาท “บิ๊กตู่” จ่อคุยรถบรรทุก วอนสินค้าอย่าขึ้นราคา

“บิ๊กตู่” พร้อมรับข้อเสนอสมาพันธ์รถบรรทุกที่ประกาศบุกทำเนียบ 27 เม.ย.นี้ “สุพัฒนพงษ์” แจงขึ้นราคาดีเซลรัฐทำแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ละ 50 สต.-1 บาท 3-4 วันครั้ง โดยยอมอุดหนุนส่วนเกินมากกว่า 50% “จุรินทร์” อ้อมแอ้ม ให้ขึ้นราคาได้แต่กำไรไม่ต้องมาก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เปิดเผยถึงกรณีที่สมาชิกสมาพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยกว่า 100 คนเตรียมเดินทางมายื่นหนังสือถึงนายก รัฐมนตรี ในวันที่ 27 เม.ย.นี้หลังได้รับสัญญาณว่า รัฐบาลจะยกเลิกมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ลิตรละ 30 บาทว่าพร้อมรับข้อพิจารณา และรับฟังก่อน เพราะดูก็รู้ว่าปัญหามันมาจากอะไร และที่ผ่านมารัฐบาลได้ดูแลมาระยะหนึ่งแล้วและทุกคนก็ทราบดีแล้วว่าได้ใช้เงินในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปหมดแล้ว และที่ได้กู้เงินมาเสริมก็หมดลงไปแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนเพียงใดก็ต้องเข้าใจรัฐบาลกันบ้าง

“การขึ้นราคาดีเซลประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมาก พันไปถึงอย่างอื่นและนำไปสู่เงินเฟ้อแต่ต้องเข้าใจกันว่ารัฐบาลจะดูแลได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้เป็นวันเวลาที่ทุกคนจะต้องร่วมมือกัน รัฐบาลเองก็พร้อมที่จะดูแล”

ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าหากภาคขนส่งจำเป็นจะต้องหยุดวิ่งเพราะไม่สามารถที่จะสู้กับต้นทุนตรงนี้ได้รัฐบาลจะทำอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ต้องรอดูเขาก่อน ส่วนตัวคิดว่าก็ยังมีผู้ประกอบการที่อยู่ในสมาคมอีกจำนวนหนึ่งและที่ไม่ได้อยู่ในสมาคมอีกจำนวนหนึ่งก็ลองดูแล้วกัน ก็ต้องช่วยกันนะ

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ได้มอบหมายให้นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานไปพิจารณาวิธีการขึ้นราคาน้ำมันดีเซลแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะจะไปขึ้นทีเดียว 50% ในส่วนที่เกินจากลิตรละ 30 บาทไม่ได้หรอก ประชาชนจะเดือดร้อนแน่ โดยให้ปรับเพิ่มแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจจะค่อยๆขึ้นเป็นลิตรละ 31, 32, 33 บาทก็ได้ โดยรัฐบาลจะใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนให้มากกว่า 50%

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงขณะนี้อยู่ที่ 40 บาทต่อลิตร รัฐบาลอุดหนุนราคาอยู่ที่ลิตรละ 10 บาท คิดเป็นเดือนละ 6,000 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ต้องค่อยๆ ปรับไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีแนวโน้มยืดเยื้อหรือไม่ โดยต้องประเมินสถานการณ์อย่างน้อย 3 เดือน (พ.ค.-ก.ค.65) ถ้าศักยภาพเราพอไปได้

“เราก็ดูแลกันไป ขณะนี้เราอยู่ระหว่างฟื้นตัว หากถึงจุดหนึ่งลอยตัวได้ แน่นอนใครๆ ก็อยากให้ลอยตัว แต่รัฐบาลอยากเห็นประเทศไทยค่อยๆเติบโตขึ้นไป แล้วต้องคิดด้วยว่า ถ้าอยู่ในสภาพนี้เงินจะต้องเอามาจากที่ไหน ส่วนราคาสินค้าที่ปรับขึ้นตามราคาค่าขนส่ง บริษัทผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีสูตรการปรับราคาสินค้าอยู่แล้วในยามนี้ วิกฤติแบบนี้ราคาสินค้าสูงขึ้น เราก็ต้องประหยัด พึ่งพาตัวเอง ลดการใช้ในสิ่งที่สิ้นเปลืองไปบ้าง”

ผู้สื่อข่าวรายเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) อยู่ระหว่างหารือรายละเอียดและกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีความชัดเจนเพื่อเปิดเผยให้สาธารณชนทราบภายในสัปดาห์นี้ ก่อนมาตรการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย.นี้ โดยในปัจจุบันรัฐบาลได้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลให้ประชาชนอยู่ที่ 10.52 บาทต่อลิตร เพื่อตรึงราคาดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาท โดยในเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.นี้ ราคาน้ำมันดีเซลอาจปรับขึ้น โดยขึ้นครั้งละ 50 สตางค์ (สต.) หรือ 1 บาทต่อลิตร เป็น 31, 32, 33 บาทต่อลิตร ตามราคาที่ผู้ค้าน้ำมันทยอยปรับขึ้นแต่ละครั้ง ไม่ปรับขึ้นครั้งเดียวที่ 35 บาทต่อลิตร โดยความถี่อาจจะ 3-4 วันปรับขึ้นครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุด

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบอ้างอิงตลาดดูไบในระยะนี้ อาจเคลื่อนไหวอยู่ที่กว่า 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศจะอยู่ที่ 33 บาทต่อลิตร แต่ถ้าขึ้นไป 125 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ 40 บาทต่อลิตร และกรณีราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ 150 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลราคาน้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ 46 บาทต่อลิตร เงินเฟ้อ 7.2% จีดีพีจะโตลดลงเหลือ 3%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า หากรัฐบาลยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจะต้องจับตาดูเป็นพิเศษ คือ สินค้าทั้ง 18 กลุ่ม ที่ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ยังขอความร่วมมือผู้ผลิตสินค้า ให้ตรึงราคาขายอย่างต่อเนื่อง แต่หากมีต้นทุนปรับเพิ่มขึ้นจริง ขอความร่วมมือผู้ผลิตว่าหากจะปรับขึ้นราคาขายปลีก ก็ขอให้ปรับเพิ่มส่วนต่างกำไรให้น้อยที่สุด หรือให้เพียงพอมีกำไรบ้าง ไม่ใช่ปรับขึ้นราคาสูงมาก และได้กำไรมาก หรือไม่ใช่ขาดทุนจนต้องหยุดผลิตสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคอยู่ได้ด้วย และผู้ผลิตสินค้าก็ยังทำธุรกิจต่อไปได้.