กรมส่งเสริมการเกษตร เตือนเกษตรกรชาวสวนหลังสภาพอากาศช่วง ต.ค.-ธ.ค. เหมาะที่ต้นลำไยจะติดผล โดยขอให้ระวังป้องกันเพลี้ยแป้ง โดยกำจัดมดในสวนด้วยสารเคมี รวมทั้งหญ้าแห้วหมูและหญ้าคาแหล่งอาศัยของเพลี้ย เพื่อสร้างผลผลิตลำไยนอกฤดูคุณภาพดี ปี 66
นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ลำไยถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยชนิดหนึ่ง เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีศักยภาพในการผลิตสูง ปัจจุบันมีครัวเรือนเกษตรกรชาวสวนลำไย จำนวน 253,147 ครัวเรือน เนื้อที่ยืนต้น 1,738,506 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 1,693,261 ไร่ และผลผลิต 1,555,360 ตัน ผลผลิตเฉลี่ย 919 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งพื้นที่ภาคเหนือเป็นพื้นที่เพาะปลูกหลัก และภาคตะวันออกเป็นพื้นที่เพาะปลูกรอง สำหรับภาคตะวันออกมีพื้นที่ผลิตลำไยใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว จันทบุรี ตราด ระยอง และจังหวัดชลบุรี มีเกษตรกรชาวสวนลำไยภาคตะวันออก จำนวน 24,837 ครัวเรือน เนื้อที่ยืนต้น 377,762 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 376,703 ไร่ ผลผลิต 479,347 ตัน โดยเป็นการผลิตนอกฤดูทั้งหมด
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวต่อว่า สำหรับผลผลิตลำไยจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม และช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม โดยในปี 2566 นี้ สภาพอากาศเอื้ออำนวยให้ลำไยติดผล แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ลำไยสลัดลูกทิ้งเมื่อขาดน้ำ และไม่สามารถทนทานต่อความร้อนที่สูงขึ้นเป็นระยะยาว ช่อผลที่กำลังพัฒนามีการหยุดชะงัก ผลเล็กไม่เจริญเติบโต หรือผลที่เติบโตเต็มที่แล้วจะมีอาการผลแตกในช่อผลได้
...
นายรพีทัศน์ กล่าวอีกว่า กรมส่งเสริมการเกษตรจึงแนะนำให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไย โดยเฉพาะผู้ผลิตลำไยนอกฤดูในภาคตะวันออกที่ใกล้เข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวในเดือนตุลาคมนี้ หมั่นสำรวจสวนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาผลผลิตให้มีคุณภาพ และให้เฝ้าระวังเพลี้ยแป้ง ซึ่งเป็นศัตรูพืชสำคัญในลำไย เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด โดยเกษตรกรสามารถสังเกตลักษณะการทำลายของเพลี้ยแป้งลำไยได้บริเวณใบ ยอดอ่อน ช่อดอก และผล ตั้งแต่ระยะแทงตาดอกไปจนถึงผลแก่ ซึ่งเพลี้ยแป้งมักอาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงในบริเวณส่วนต่างๆ ดังกล่าว โดยมีมดเป็นพาหะช่วยเคลื่อนย้ายไป และทำให้การระบาดรุนแรงมากขึ้นได้ ทั้งนี้ หากระบาดรุนแรงจะทำให้บริเวณที่ถูกทำลายเหี่ยวแห้ง และเพลี้ยแป้งจะขับถ่ายมูลหวาน ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของราดำ ทำให้ราดำเจริญเติบโตปกคลุม ส่งผลให้ลำไยเสียคุณภาพ
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวด้วยว่า สำหรับการควบคุมและป้องกันกำจัด เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงทุก 7 วัน พร้อมกับกำจัดมด โดยใช้ผ้าชุบน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว หรือชุบสารกำจัดแมลง ได้แก่ มาลาไทออน 83% EC อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์บาริล 85% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พันไว้ที่โคนต้นและวัสดุค้ำยันต่างๆ และหากพบรังมดในแปลงปลูก ควรใช้เหยื่อพิษกำจัดมดโดยเร็ว รวมทั้งกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกด้วย โดยเฉพาะแห้วหมูและหญ้าคา เนื่องจากเป็นพืชอาศัยของเพลี้ยแป้ง โดยให้ถอนต้นและขุดเหง้าที่อยู่ในดินออก หรือใช้สารฮาโลซัลฟูรอน-เมทิล 75% WG พ่นระหว่างแถว
ในกรณีที่เริ่มพบการระบาดของเพลี้ยแป้งเล็กน้อย ให้ตัดส่วนที่พบไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก ใช้น้ำฉีดพ่นให้เพลี้ยแป้งหลุดออกไป หรือใช้ไวท์ออยล์ หรือปิโตรเลียม ออยล์ อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นในบริเวณที่พบการระบาด กรณีการระบาดรุนแรง ให้พ่นสารกำจัดแมลง ได้แก่ ไทอะมีทอกแซม 25% WG อัตรา 2.5 กรัม หรือไดโนทีฟูแรน 10% WP อัตรา 10 กรัม หรือมาลาไทออน 57% EC + ปิโตรเลียม ออยล์ 83.9% EC อัตรา 40 มิลลิลิตร อย่างใดอย่างหนึ่งผสมน้ำ 20 ลิตร แล้วพ่นสารอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน 7 วัน.