ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์แปลกเชียงใหม่ ประสบความสำเร็จในการเพาะ "หนูสฟิงซ์ 2 สี" สายพันธุ์ใหม่ ได้เป็นเจ้าแรกของโลก ไร้ขน หน้าย่น และผิวหนังยับย่นทั้งตัว หน้าตาน่าเกลียดน่าชัง เจ้าของระบุปีหน้าจะพัฒนาให้ได้ 7 สี เป็นหนูสฟิงซ์แฟนซี เพื่อเปิดตลาดใหม่และราคาที่สูงขึ้น
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยัง ร้านเดอะเอ็กซ์ คาเฟ่ จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์แปลก ที่มีรายงานว่า สามารถเพาะเลี้ยงหนูสฟิงซ์สายพันธุ์ใหม่ของโลก เป็นหนูสฟิงซ์ 2 สี ลักษณะหน้าตาเหี่ยวย่น ไม่มีขน แต่ผิวหนังสีชมพู ยับย่นทั้งตัว แต่หางและหูเป็นสีเทาหรือสีดำ ขายราคาตัวละ 1,000-1,500 บาท ซึ่งก็มีลูกค้าสนใจซื้อไปเลี้ยง การดูแลไม่ยาก เลี้ยงเหมือนสัตว์เลี้ยงทั่วไป ปีที่ผ่านมาฟาร์มแห่งนี้เคยสร้างความฮือฮามาแล้ว โดยสามารถเพาะเลี้ยงหนูสฟิงซ์หนังย่นทั้งตัวได้เป็นเจ้าแรกของโลก
สำหรับลักษณะของหนูสฟิงซ์ จะมีผิวหนังย่นทั้งตัว สีชมพู หูใหญ่ หน้าย่น ตัวเล็ก ไม่มีขน ขายตัวละหลักหมื่น ซึ่งมีลูกค้าสั่งจองและซื้อไปเพาะเลี้ยงจำนวนมาก จนเพาะเลี้ยงไม่ทัน แต่มาปีนี้ลูกค้าที่ซื้อไปเลี้ยงนำไปเพาะขยายพันธุ์จนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และมีการแย่งตลาด ทำให้ราคาปีนี้ลดลง เหลือแค่ตัวละ 800 บาท แต่ก็ยังมีลูกค้า ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกซื้อไปเลี้ยงอยู่ นอกจากนั้น ยังมีการเพาะเลี้ยงงูหลากหลายสายพันธุ์ขาย รายได้แต่ละปีหลักล้านบาท
...
นางนิชธาวัลย์ สมสุข เจ้าของร้านเดอะเอ็กซ์ คาเฟ่ จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ปีนี้ได้เพาะขยายพันธุ์ หนูสฟิงซ์ สายพันธุ์ใหม่ เป็นสฟิงซ์แฟนซี 7 สี เพื่อหนีตลาด แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ได้หนูสฟิงซ์สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาใหม่แค่ 2 สี คือ มีใบหูและหางเท่านั้นที่สีดำ ส่วนลำตัวยังเป็นสีชมพู และผิวหนังย่นเหมือนเดิม ซึ่งตอนแรกจะพัฒนาให้เป็นสฟิงซ์แฟนซี ผิวหนังมีหลายสี เพื่อที่จะได้ราคาสูง แต่เมื่อได้แค่ 2 สี ตั้งราคาขายที่ 1,000-1,500 บาท ซึ่งก็ยังเป็นรายแรกของโลกเหมือนกัน ในต่างประเทศยังไม่มี ก็มีลูกค้าซื้อไปเลี้ยงเรื่อยๆ
เจ้าของร้านเดอะเอ็กซ์ คาเฟ่ กล่าวด้วยว่า ช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ลูกสาวนำเจ้าหนูสฟิงซ์ไปประกวดสัตว์เลี้ยงหน้าตาน่าเกลียดที่กรุงเทพฯ แล้วได้ถ้วยรางวัลชนะเลิศมา อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มเพาะเลี้ยงสัตว์แปลก หรือสมาคมการค้า เกษตรกรทางเลือก ผู้เพาะพันธุ์ และพัฒนาสัตว์เลี้ยงพิเศษ หรือ นาต้า ได้เรียกร้องมาตลอดและอยากให้ทางรัฐบาลหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบให้สัตว์แปลกเป็นสินค้าส่งออกไปขายต่างประเทศได้ หากสามารถทำได้ก็จะทำให้ตลาดสัตว์แปลกขยายตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่า ปัจจุบันยังไม่สามารถส่งออกได้ เนื่องจากติดข้อกฎหมาย.