เกษตรกรที่บึงกาฬ เร่งปรับพื้นที่ริมแม่น้ำโขงปลูกมะเขือเทศ และข้าวโพด กันเป็นจำนวนมาก หลังเข้าสู่ฤดูหนาว ชี้มีน้ำทำเกษตรตลอดปีจึงปลูกสลับกับการทำนาตลอด พร้อมฝากรัฐบาลดูแลราคาพืชผลการเกษตร โดยเฉพาะมะเขือเทศและข้าวโพดให้เป็นไปตามกลไกตลาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลานี้เกษตรกรในพื้นที่ตามริมฝั่งแม่น้ำโขง ในอำเภอเมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ เร่งปรับพื้นที่ปลูกมะเขือเทศ และข้าวโพด กันเป็นจำนวนมาก หลังเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเป็นรายได้หลักของเกษตรกรในจังหวัด รองจากยางพารา และการทำนาข้าว ซึ่งการปลูกพืชริมฝั่งโขงแม้จะปลูกในช่วงแล้ง แต่ก็ยังมีน้ำให้สามารถเพาะปลูกได้อยู่ตลอดทั้งปี จึงทำให้มีผลผลิตออกสู่ท้องตลาดได้

สำหรับน้ำที่ใช้เพาะปลูกพืช จะเป็นน้ำที่ได้จากแม่น้ำโขง เพราะน้ำมีตลอดทั้งปี โดยพืชที่เกษตรกรปลูก ก็จะปลูกสลับกันไป หรือบางราย ก็จะปลูกแบบหมุนเวียน ไม่เน้นทำเป็นพืชเชิงเดี่ยว เพราะจะช่วยในเรื่องของสินค้าล้นตลาดได้ เช่น ราคาพืชชนิดไหนไม่ดี ก็ยังมีพืชอีกชนิดที่ราคาดีขายได้ราคา จึงทำให้เกษตรกรมีรายได้ไม่ขาดช่วง แม้พืชผลทางการเกษตรจะตกต่ำไปบ้างในบางช่วงก็ตาม

...

นางกาญจนา พรมพันห้าว อายุ 45 ปี ชาวบ้าน ม.4 บ้านนาโนน อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ เป็นเกษตรกรที่ได้ปลูกพืชอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงสร้างรายได้ โดยเน้นปลูกมะเขือเทศพันธุ์พรีเมียมโกลด์เป็นหลัก เพราะผลมีขนาดใหญ่ ได้น้ำหนักดี ตลาดมีความต้องการ มะเขือเทศพันธุ์ขนาดกลาง และมะเขือเทศพันธุ์ขนาดเล็ก รวม 3 สายพันธุ์ จึงเป็นพืชที่สร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี ขั้นตอนแรกของการปลูกมะเขือเทศ คือเตรียมดินด้วยการนำรถไถมาพรวนดิน พร้อมทั้งยกร่อง เพื่อให้เป็นพื้นที่สำหรับปลูกต้นมะเขือเทศ

เกษตรกรที่ได้ปลูกพืชอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง กล่าวต่อว่า ขั้นตอนของการเตรียมแปลงปลูกนั้น จะใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ลงไปด้วย เพื่อเป็นปุ๋ยในช่วงแรกให้กับพืชได้นำไปใช้ในการเจริญเติบโต พอเตรียมแปลงปลูกเสร็จแล้ว ก็จะนำกล้ามะเขือเทศที่เพาะไว้ ที่มีอายุประมาณ 1 เดือน มาลงปลูกในแปลง โดยหลังปลูกเสร็จก็จะรดน้ำ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง เมื่อเห็นพืชเจริญเติบโตเต็มที่ ก็จะรดน้ำทุก 15 วันครั้ง มะเขือเทศพอเริ่มมีอายุ 20 วัน หลังปลูก ก็จะเริ่มออกดอกมาให้เห็น ก็จะปรับสูตรปุ๋ย เป็นสูตร 13-13-13 จากนั้นดูแลต่อไปอีกประมาณ 2 เดือนกว่าๆ มะเขือเทศก็จะมีผลให้เก็บขายได้ ผลมะเขือเทศที่สามารถเก็บจำหน่ายได้ จะเก็บตามที่ลูกค้าสั่ง ว่าต้องการผลที่มีสีเขียวหรือสีแดง การเก็บแต่ละครั้งจึงขึ้นอยู่ที่ลูกค้ากำหนด

นางกาญจนา กล่าวถึงการจำหน่ายมะเขือเทศสู่ตลาดว่า พื้นที่สวนปลูกมะเขือเทศของเธอจะมีโรงงานมารับซื้อผลผลิต ดังนั้น ตลาดที่ส่งจำหน่ายส่วนใหญ่จึงเน้นเข้าโรงงาน และบางส่วนที่มีขนาดไซด์ไม่ได้มาตรฐานก็จะส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่มารับซื้อไปจำหน่ายต่อ มะเขือเทศ ที่ส่งโรงงานก็จะไปแปรรูปเป็นซอสมะเขือเทศ ส่วนผลที่ไม่ได้เข้าโรงงานก็สามารถขายให้กับแม่ค้าได้อีกช่องทาง อีกอย่างที่สำคัญเรื่องสภาพอากาศที่เป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะได้ผลผลิตมากหรือน้อย เพราะทำให้เกิดโรคและแมลงในมะเขือเทศ ฝนมาก็ทำให้มะเขือเทศเน่า หนาวก็เกิดโรคราน้ำค้าง ลูกไม่สวยบ้าง ผลผลิตจะเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง หากเกิดขึ้นกับผลมะเขือเทศ จะทำให้พ่อค้าแม่ค้าไม่รับซื้อ จึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

...

"ปีที่แล้วราคามะเขือเทศถือว่าดีกิโลกรัมละ 10 บาท (ขนาดใหญ่) มะเขือเทศขนาดเล็กกิโลกรัมละ 30-35 บาท ส่วนมะเขือเทศขนาดเล็ก (มะเขือเทศราชินี) กิโลกรัมละ 40-50 บาท ส่วนในปีนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นเพาะปลูกยังไม่รู้ราคารับซื้อ แต่อยากให้ได้ราคาเท่าเดิมกับปีที่แล้ว เพราะการลงทุนเพาะปลูกสูงมาก ราคาปุ๋ยก็แพง สวนที่ปลูกมะเขือเทศของตนมีอยู่ 3 ไร่ และสวนที่ปลูกข้าวโพดรวมๆ แล้วมี 10 กว่าไร่ ปีนี้ลงทุนไปหลายหมื่นบาทแล้ว นี่แค่เริ่มต้นการเพาะปลูก ตอนนี้ตีราคาคร่าวแล้วกว่า 5 หมื่นบาท ทั้งค่าน้ำมัน โดยเฉพาะค่าปุ๋ย ปีนี้ปุ๋ยยูเรียกระสอบละ 900 บาท สูตร 15-15-15 กระสอบละ 1,200-1,300 แล้วแต่ร้าน" เกษตรกรที่ได้ปลูกพืชอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง กล่าว

...

นางกาญจนา กล่าวด้วยว่า ขอฝากไปถึงรัฐบาล อยากให้ดูแลเกษตรกรชาวไร่ ชาวสวนบ้าง กลุ่มที่ปลูกมะเขือเทศ ปลูกข้าวโพด ดูแลราคาให้เป็นไปตามกลไกตลาด หรือให้ผู้ผลิตมารับซื้อที่สวนเพาะปลูก ไม่ต้องไปรับซื้อผ่านพ่อค้าคนกลาง ที่เขานำไปขายต่อ ในราคาที่เพิ่มสูงขึ้น.