"รมว.อรรถกร" แจงสภาฯ แม่น้ำท่าจีนยังรับได้ สั่งกรมชลประทานเร่งขุดลอก-ติดตั้งเครื่องสูบ รุกเพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำก่อนฝนหลากท่วมซ้ำ ยันระบายทันแน่นอน
เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา นายกิตติภณ ปานพรหมมาศ สส.นครปฐม พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถาม นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคกล้าธรรม (กธ.) ถึงสถานการณ์แม่น้ำท่าจีนล้นตลิ่งช่วงฤดูฝน จนท่วมบ้านเรือนของประชาชนในจังหวัดภาคตะวันออก
นายอรรถกร ชี้แจงว่า เป้าหมายของกระทรวงเกษตรฯ มีการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำอยู่แล้ว น้ำทุกหยดที่ไหลผ่านครองแต่ละสายของประเทศมีความจำเป็นที่ต้องลงไปวางแผนบริหารจัดการ ซึ่งภาพรวมนั้นหลักๆ แล้วน้ำที่จะไหลเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยามาจากภาคเหนือ ร่วมกับปริมาณน้ำฝนที่อาจเกิดขึ้นในบางพื้นที่ทำให้การบริหารจัดการน้ำในแต่ละช่วงอาจต้องใช้เทคนิคหรือวิธีการที่แตกต่างออกไป แต่เป้าหมายสำคัญที่สุดในการบริหารจัดการน้ำไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนของประเทศ ต้องทำอย่างไรให้ประชาชนมีน้ำใช้ในวันที่น้ำแล้ง
การบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน น้ำที่ไหลลงมาจากภาคเหนือจะลงมารวมที่ สถานีวัดน้ำ 42 ที่ จ.นครสวรรค์ มีความสามารถในการรองรับน้ำอยู่ที่ 3,660 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะนี้ มีน้ำไหลผ่านประมาณ 768 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คิดเป็นประมาณ 20%
ขณะนี้ กรมชลประทานได้ทำการพร่องน้ำมากกว่าปีก่อน เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า สถานการณ์ฝนปีนี้ จะเยอะกว่าปกติทำให้สถานการณ์น้ำ ทั้งด้านบนและข้างล่างต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
หลักการสำคัญที่กรมชลประทานใช้มาตลอดระหว่างทางต้องพยายามตัดยอดน้ำทางด้านซ้ายและด้านขวา เพื่อเป็นไปตามหลักของวิศวกรที่กรมชลประทานคำนวณไว้ การตัดยอดน้ำที่มากเกินไปจะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ทั้งหน้าฝนและหน้าแล้ง
...
จากนั้น ปริมาณน้ำจะลำเลียงผ่านประตูน้ำและการบังคับน้ำต่างๆ รวมถึงประตูน้ำพลเทพ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีความสามารถในการรับน้ำมากที่สุดประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะนี้ มีปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่ 70 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คิดเป็น 30% เท่านั้น ดังนั้น เมื่อประเมินสถานการณ์แล้วกรมชลประทานคิดว่า การแบ่งปันน้ำยังสามารถรับน้ำได้อีกเยอะ
สำหรับการจัดการวางแผนแม่น้ำท่าจีนได้มีการเตรียมการพร่องน้ำในคลองส่งน้ำและระบายน้ำไปยังคลองต่างๆ ในแม่น้ำท่าจีนซึ่งตัวชี้วัดสำคัญ คือ 1. การประเมินน้ำในสถานีวัดน้ำ C2 หากมีน้ำไหลผ่านมากกว่า 900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีก็ต้องปรับแผนการพร่องน้ำเพิ่มขึ้น 2. กรมชลประทานต้องตรวจสอบและเตรียมความพร้อมเครื่องจักรต่างๆ ที่ต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดหากมีปริมาณน้ำมากเกินไป 3. ต้องดำเนินการขุดลอกคลอง ส่งน้ำและครองระบายน้ำต่างๆ ที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำท่าจีนทั้งหมด รวมถึงการกำจัดวัชพืชหรือสิ่งกีดขวางทางน้ำด้วย โดยขณะนี้ ได้ดำเนินการไปแล้ว 75 รายการ เหลืออีก 33 รายการ ที่ต้องไปเร่งรัดให้กรมชลประทานดำเนินการให้เสร็จ ก่อนที่จะมีช่วงน้ำมาเยอะ 4. เตรียมติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ในพื้นที่เสี่ยงเพิ่มอีก 19 จุด 5. ติดตามและประเมินสภาพอากาศสถานการณ์น้ำแบบเรียวไทม์จัดให้มีจุด แจ้งเตือนภัยต่างๆ และให้กรมชลประทานแจ้งเตือนระดับน้ำ ทุกสถานะ เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีนรับรู้ว่า จะต้องระวังตัวเมื่อไหร่
นอกจากนี้ ได้สั่งให้กรมชลประทานได้เปิดศูนย์ เพื่อติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการน้ำในช่วงหน้าฝนโดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์ทั่วประเทศเพื่อให้รู้ว่าสถานการณ์แต่ละที่เป็นอย่างไรและนำข้อมูลเหล่านั้น มาช่วยกันพิจารณาเพื่อให้ทราบว่า ควรระมัดระวังส่วนไหน
นายอรรถกร กล่าวต่อว่า กรมชลประทานมีความจำเป็นที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำของแม่น้ำท่าจีน ให้สามารถรับและระบายน้ำได้ให้ได้อย่างน้อยๆ 90 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีและการแก้ไขปัญหาการระบายน้ำตามคอขวดต่างๆ ถือเป็นปัญหาหลัก เพื่อให้การระบายน้ำจากแม่น้ำท่าจีนลงสู่อ่าวไทยให้อย่างรวดเร็วขึ้น ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพถือเป็นเป้าหมายระยะสั้นของกรมชลประทาน
นายอรรถกร กล่าวย้ำว่า วันนี้ ได้มีตัวแทนจากกรมชลประทานเข้ามาด้วยจึงขอสั่งการไว้เลยว่าให้เร่งจัดการดูแล แม่น้ำท่าจีนตอนบนได้มอบหมายให้กรมชลประทานขุดลอกตะกอนต่างๆ ตามที่อยู่โดยเฉพาะประตูระบายน้ำโพพญาและแม่น้ำท่าจีนตอนล่างได้มีการขุดลอกและปรับปรุงไปทั้งหมด 23 จุด