สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติหวั่นไทยเปิดทางนำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ เพื่อต่อรองกับการถูกขึ้นภาษีส่งผลกระทบกับวงจรผู้เลี้ยงหมูในประเทศและเสี่ยงเกิดอันตรายจากสารเร่งเนื้อแดง โดยหนุนนำเข้าพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ขาดแคลน หรือ ผลิตได้ไม่เพียงพอแทน
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า จากมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เม.ย.2568 ที่ระบุว่า อนุมัติให้มีการนำเข้าเครื่องในสุกรจากสหรัฐฯ สร้างความกังวลใจแก่เกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากเครื่องในหมูเป็นแหล่งสะลมสารเร่งเนื้อแดงที่สหรัฐฯ ใช้กันอย่างแพร่หลาย หากนำเข้าเครื่องในมาไม่ว่าจะใช้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง หรือ อาหารมนุษย์ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงและต่อประชาชนคนไทยทั้งสิ้น เนื่องจากมีผลต่อระบบประสาทและหัวใจ ขณะที่คนไทยกินเครื่องในหมูในปริมาณมากเทียบเท่าเนื้อหมูจึงไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อสุขภาพคนไทย
การนำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ ยังส่งผลกระทบมหาศาลต่อเกษตรกรและอีกหลายภาคส่วน เป็นเหตุผลกลุ่มเกษตรกรรวมตัวมา เพื่อขอความเห็นใจจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาแก้ปัญหาดุลการค้าสหรัฐฯ ให้ช่วยปกป้องอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูของไทย ให้สามารถยืนหยัดผลิตเนื้อหมูให้คนไทยบริโภคได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืน รักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศต่อไป อาชีพผู้เลี้ยงหมูเป็นอาชีพดั้งเดิมอยู่คู่ประวัติศาสตร์ไทยมายาวนานแม้จะล้มลุกคลุกคลานเผชิญปัญหามากมายมาโดยตลอด แต่กลุ่มเกษตรกรและภาครัฐที่เกี่ยวข้องมุ่งมั่นตั้งใจยกระดับ พัฒนา ปรับปรุง เพื่อผลิตเนื้อหมูให้คนไทยบริโภคด้วยคุณภาพหมูที่สะอาด ปลอดภัย เป็นความภูมิใจของคนเลี้ยงหมูทุกคน
...
ทั้งนี้ การยื่นหนังสือในวันนี้ มีข้อมูลให้คณะเจรจาได้นำไปพิจารณา ดังนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์สนับสนุนการนำเข้าพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่ขาดแคลน หรือ ผลิตได้ไม่เพียงพอในประเทศไทย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง ซึ่งจะสามารถเพิ่มดุลการค้าให้สหรัฐฯ ได้ถึงปีละ 84,000 ล้านบาท น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการเจรจาครั้งนี้ ได้ไม่น้อย ทั้งนี้ จะเป็นการนำเข้าในส่วนที่ประเทศไทยมีไม่เพียงพอ ซึ่งจะไม่กระทบเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ในประเทศไทย นับว่า คุ้มค่ากว่าการนำอุตสาหกรรมสุกรและห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท ไปแลกอย่างชัดเจน
นายสิทธิพันธ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันปริมาณผลผลิตเนื้อหมูของไทยอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความต้องการบริโภคของประชาชน หากปล่อยให้มีเนื้อหมูสหรัฐฯ เข้ามาปริมาณซัพพลายจะเกินกว่าดีมานด์ส่งผลกระทบไปตลอดห่วงโซ่การผลิต ดังเช่นสถานการณ์หมูเถื่อนที่เกิดขึ้นอย่างหนักในช่วงปี 2564 ที่ทำให้ผู้เลี้ยงต้องสูญเสียอาชีพไปมากมาย สินค้าทั้งชิ้นส่วนและเครื่องในสุกรของสหรัฐฯ ผลิตจากประเทศที่มีกฎหมายไม่ห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดง ในขณะที่ประเทศไทยมีกฎหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ห้ามใช้ในการเลี้ยงและกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข ห้ามปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์สุกรทุกชนิดแม้จะมีการอ้างว่า มีการเลี้ยงโดยไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดงในสหรัฐฯ ในขณะที่กฎหมายของสหรัฐฯ ไม่ห้ามการใช้ จะเป็นปัญหาเช่นเดียวกับกลุ่มประเทศยุโรปไม่รับสินค้าไก่เนื้อจากประเทศที่ใช้ยาปฏิชีวนะบางกลุ่ม ในขณะที่ประเทศไทยมีการส่งไก่เนื้อไปยังยุโรปและออกกฎหมายในลักษณะที่ห้ามใช้สารต้องห้ามในลักษณะเดียวกับกลุ่มยุโรปเช่นกัน ซึ่งถือว่า เป็นมาตรฐานเดียวกัน หากผู้บริโภครับประทานเนื้อสัตว์ หรือ เครื่องใน ที่มีสารตกค้างดังกล่าว จะมีผลเป็นความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศและแม้จะนำเข้ามาเพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงกลุ่มสุนัขและแมวก็ไม่เป็นผลดีกับสุขภาพสัตว์เลี้ยงและเกิดข้อจำกัดในการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปตามมา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า วันนี้ กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูกว่า 1,000 คน ได้เดินทางไปยังกระทรวงการคลัง หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อยื่นหนังสือขอความเห็นใจ พร้อมนำหัวหมู 37 หัว บนบานกู้วิกฤติ หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 37% เพื่อลดการขาดดุลการค้า ขณะที่รัฐบาลไทยเตรียมเจรจาเปิดทางนำเข้าเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ นอกจากนั้น กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูยังเดินทางเข้าพบ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอบคุณที่แสดงจุดยืนเคียงข้างเกษตรกรและประกาศจะไม่ยอมเอาผลประโยชน์ของภาคเกษตรไปแลกกับข้อตกลงทางการค้า