ธรรมนัส เป็นประธาน Kick Off ซื้อขายน้ำยางสดและยางก้อนถ้วย EUDR ครั้งแรก สั่ง กยท.จัดทัพรวมทีมเอกชน-เกษตรกรฯ ทดสอบชีวภัณฑ์แบบจริงจัง แก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา เสริมแกร่งห่วงโซ่ยางไทยทั้งระบบ
เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 67 ที่โรงงานน้ำยางข้นสหกรณ์ การเกษตรจะนะ จำกัด จ.สงขลา ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ เป็นประธานเปิดงาน Kick Off โครงการบูรณาการฯ เร่งแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา พร้อมประเดิมซื้อขายน้ำยางสด EUDR ครั้งแรก
รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้ นโยบายการพัฒนาทรัพยากรเกษตรให้ ยั่งยืน โดยสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่ยางพาราไทย โดยเข้าไปบรรเทาปัญหายางพาราตั้งแต่แหล่งกำเนิด นั่นคือสวนยางพารา โดยมุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ สวนยางในประเทศไทยโดยเฉพาะหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้รายได้ของพี่น้องเกษตรกรที่ จะได้รับลดลงจึงได้มอบหมายให้ กยท. เร่งแก้ปัญหาดังกล่าว
...
ร้อยเอกธรรมนัส กล่าวต่อว่า ขอชื่นชม กยท.ที่ใส่ใจในการบริหารจัดการโรคใบร่วงชนิดใหม่ ในยางพาราอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ การแจกจ่ายชีวภัณฑ์เพื่อลดความรุนแรงของโรค การพัฒนาอาชีพเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อย โดยเฉพาะอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การนำนวัตกรรม งานวิจัย และองค์ความรู้ ซึ่งวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันบูรณาการองค์ความรู้ ผ่านโครงการบูรณาการทดลองร่วมกันระหว่างภาคเอกชนกับเกษตรกรเพื่อแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ ในยางพาราฯ เพื่อให้ได้กรรมวิธีที่เหมาะสมในการจัดการโรคใบร่วง และเชื่อมั่นว่าจะสามารถเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวให้ดีขึ้นได้
รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวอีกว่า อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ การยกระดับผลผลิตยางพาราให้ ตรงตามมาตรฐานที่ผู้ซื้อยางหรือตลาดโลกต้องการ การเตรียมความพร้อมของพี่น้องเกษตรกรจึงเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องกฎระเบียบ EUDR ที่จะเริ่มบังคับใช้กับผลิตภัณฑ์ยางพาราในเดือนธันวาคมสิ้นปี นี้ ซึ่งขณะนี้ กยท. ได้จัดเตรียมระบบข้อมูลยางพาราไทยให้เป็นไปตามเงื่อนไข ทั้งระบบลงทะเบียนเกษตรกรที่ จะต้องใช้เป็นพื้นฐาน รองรับกฎระเบียบฯ ซึ่งการจัดทำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (RAOT GIS) ของ กยท. เป็นอีกหนึ่งระบบที่ได้รับการรองรับตามกฎระเบียบ EUDR ในขณะนี้ ซึ่งภาคเอกชนเองก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันยางไทย ทั้งนี้ มั่นใจว่าหากภาคเอกชนและภาครัฐร่วมประสานความร่วมมือและเดินไปในทิศทางเดียวกันแล้ว จะสามารถไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกรชาวสวนยางแน่นอน
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า กยท. ขับเคลื่อนการบริหารจัดการยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่ต้นน้ำ โดยบริหารจัดการโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา (ใบจุดกลม Colletotrichum) อย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมา กยท. ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและยับยั้งการเกิดโรคมาโดยตลอด อาทิ การจัดหาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดและยับยั้งเชื้อรา (เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ยังไม่ เกิดการระบาดมาก) ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่เกษตรกร และส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรด้วยการปรับเปลี่ยนพืชในพื้นที่ที่ ระบาดรุนแรง และประสานงานกับกรมวิชาการเกษตรในการขยายพันธุ์ และขนย้ายกล้ายางที่ปลอดโรค
...
ผู้ว่าการ กยท.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กยท. ยังดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาพันธุ์ยางต้านทานโรค รวมไปถึงการทดสอบปุ๋ย ชีวภัณฑ์ ในแปลงของเกษตรกรชาวสวนยางที่ ประสบโรคฯ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2565 ทำให้แนวโน้มความรุนแรงของโรคลดลง และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลล่าสุด (มิถุนายน 2567) มีพื้นที่สวนยางได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคฯ จำนวน 28,840 ไร่ ลดลงจากเดือนพฤษภาคม ประมาณร้อยละ 97 สำหรับโครงการบูรณาการฯ นี้ เป็นอีกก้าวของการพัฒนาชีวภัณฑ์ ให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดโรค ซึ่ง กยท. ได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนร่วมกันทดสอบปุ๋ย ชีวภัณฑ์ และสารอื่นๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นเวที ที่ทุกภาคส่วนได้มาบูรณาการทดลองร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยมีผู้ประกอบการจากภาคเอกชนเข้าร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์จำนวน 12 บริษัท ในพื้นที่สวนยางของตัวแทนเกษตรกรจังหวัดสงขลาจำนวน 24 แปลง
“กยท. ไม่นิ่งนอนใจในทุกปัญหาของพี่น้องชาวสวนยาง เราจะร่วมกันพัฒนาแนวทางจัดการแก้ปัญหาโรคใบร่วงฯ อย่างตรงจุดและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งประโยชน์ โดยตรงและบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร เกิดเป็นรายได้ที่สามารถนำไปพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องชาวสวนยางไทยอย่างยั่งยืน” นายณกรณ์ กล่าว
...
ผู้ว่าการ กยท.กล่าวด้วยว่า ในวันเดียวกันนี้ กยท. ประเดิมซื้อขายน้ำยางสดที่ สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มา (เป็นไปตามกฎระเบียบ EUDR) ผ่านตลาดกลาง กยท. 2 แห่ง มีปริมาณน้ำยางสดรวมกว่า 138,000 กิโลกรัม โดยวันนี้ราคาน้ำยางสดตรวจสอบย้อนกลับได้ สูงสุดที่ 78 บาท/กก. คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 10.5 ล้านบาท ถือเป็นการซื้อขายน้ำ ยางสดตรวจสอบย้อนกลับได้ครั้งแรกในไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ กยท. ได้เปิดตลาดซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 และยางก้อนถ้วยที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ ผ่านการประมูลด้วยระบบ TRT ดังนั้นการ Kick Off ในวันนี้ จึงแสดงถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการจัดการข้อมูลยางพาราและระบบการซื้อขายยางผ่านตลาดกลางของ กยท. ที่มีมาตรฐาน พร้อมรองรับความต้องการยาง EUDR ของตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต.