
สถานการณ์ความมั่นคงภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้มาถึงจุดที่ยากจะคาดเดาอีกครั้ง หลังกองกำลังรัฐอิสลามหรือไอเอส ได้สูญเสียฐานที่มั่นหลักไปเกือบหมดแล้ว
โดยแห่งแรกที่เมือง “โมซูล” ทางภาคเหนือของอิรัก ถูกกองกำลังรัฐบาลอิรักรุกคืบ ยึดคืนถนนทีละสาย อาคารทีละหลัง จนเหลือแค่ฐานบัญชาการในสุเหร่าทางย่านตะวันตกของเมือง มีรายงานจากชุดลาดตระเวนอิรักว่า นักรบไอเอสได้ระดมพล ยุทโธปกรณ์ไปซ่องสุม พร้อมชักธงไอเอสขึ้นสู่ยอดเสา ส่งสัญญาณปักหลักสู้ตาย
ขณะที่เมืองหลวงหลัก เมืองอำมหิต “รักกา” ทางภาคตะวันตกของซีเรียอยู่ในสภาพถูกตีโอบ หลังกองกำลังกบฏซีเรียที่สนับสนุนโดยสหรัฐฯ รุกมาจากทางซ้ายของเมืองตัดเส้นทางลำเลียง และเขื่อนผลิตไฟฟ้า ประกอบกับกองกำลังนักรบชาวเคิร์ดที่รุกคืบมาจากด้านบนและด้านขวา เหลือเพียงคอร์ริดอร์ ช่องทางออกสู่โลกภายนอกทางทิศใต้ ซึ่งเป็นเขตทะเลทราย ไม่เหมาะสมที่จะตั้งเป็นปราการแนวรับแต่อย่างใด
ซึ่งล่าสุด มีรายงานว่า กองกำลังปราบไอเอส หรือชื่อเต็มว่ากองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย หรือเอสดีเอฟ ที่เป็นการจับมืออย่างหลวมๆระหว่างนักรบอาหรับและเคิร์ด ได้เป่านกหวีดรุกคืบเข้าไปในเมืองแล้ว และปะทะอย่างหนักหน่วงกับนักรบไอเอสประมาณ 4,000 คน ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “เพลิงแค้นแห่งลุ่มน้ำยูเฟรตีส”
ประกอบกับมีข่าวที่ยังไม่ยืนยันว่า กลุ่มก่อการร้ายไอเอส ได้สูญเสียหัวเรือหลักไปแล้ว คือ “อาบู บาการ์ อัล–แบกดาดี” ผู้ก่อตั้งกลุ่มไอเอส ที่ถูกเครื่องบินกองกำลังพันธมิตรตะวันตกโจมตีสังหารเสียชีวิต
ด้วยเหตุนี้ทำให้นักวิเคราะห์เริ่มคาดการณ์อนาคตว่าจะเป็นเช่นไรกันต่อ แม้ไอเอสจะถูกขจัดหรือลดบทบาทไป แต่ก็มิได้หมายความว่าสงครามกลางเมืองซีเรีย ที่ดำเนินมา 6 ปีจะจบลงไปด้วย
เพราะทุกวันนี้ สถานการณ์ในซีเรียได้ตกอยู่ในสภาพสงครามตัวแทน ที่ชาติต่างๆ มหาอำนาจมีส่วนร่วมเดิมพันในเกมกระดานใหญ่ จับกลุ่มพลิกไปมา อย่างรัสเซียที่หนุนทัพรัฐบาลซีเรียสู้กับทัพกบฏซีเรียหนุนโดยสหรัฐฯ และขณะเดียวกันรัฐบาลซีเรียก็ไปแตะมือกับกองกำลังติดอาวุธที่หนุนโดยอิหร่าน ซึ่งพอมีคำว่าอิหร่านก็หนีไม่พ้นที่จะมาซาอุดีอาระเบียเข้ามาคานอิทธิพล โยงใยกันมั่วไปหมด
วันนี้เนื้อที่หมดแล้ว ไว้พรุ่งนี้มาลงรายละเอียดว่าตอนต่อไปของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไรครับ.
ตุ๊ ปากเกร็ด