
บอร์ดบริหาร “อีอีซี” เคาะแนวทางพีพีพีซุปเปอร์ฟาสต์แทร็ค เหลือ 8-10 เดือน มั่นใจปีนี้เปิดประมูลได้ 2 โครงการใหญ่ ศูนย์ซ่อมอากาศยานและท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 พร้อมเร่งรัด 5 โครงการสำคัญ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปลายเดือน พ.ค.นี้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) ที่นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธาน จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางและขั้นตอนเพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการในโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) สำหรับโครงการในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะให้เหลือเวลาดำเนินการ 8-10 เดือน หรือพีพีพีซุปเปอร์ฟาสต์แทร็ค
ทั้งนี้ เมื่อผ่านการพิจารณาของ กรศ.แล้ว จะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานต่อไป
นายกอบศักดิ์กล่าวว่า สำหรับการลดระยะเวลาดำเนินการเหลือ 8-10 เดือน จากเดิมที่ลดลงมาแล้วเหลือ 20 เดือนนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องแก้กฎหมายฉบับใด เพียงแต่ปรับขั้นตอนการทำงาน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทราบอยู่แล้วว่าจะต้องดำเนินการอะไรบ้างในแต่ละโครงการ ดำเนินการไปพร้อมกันเลย โดยไม่ต้องรอให้หน่วยงานหนึ่งเสร็จแล้วอีกหน่วยงานค่อยเริ่ม ไม่ว่าจะเป็นส่วนของการทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ก็สามารถทำไปพร้อมกันได้
นอกจากนี้ บางโครงการก็สามารถข้ามบางขั้นตอนไปได้ เช่นกรณีของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาที่ไม่จำเป็นต้องทำ EIA เพราะอยู่ในพื้นที่ของรัฐคือของกองทัพเรือ ซึ่งไม่ได้มีชุมชนรอบๆ ขณะที่รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ก็เริ่มทำ EIA แล้ว
ทั้งนี้ ในบางกระบวนการของบางโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ทำให้เชื่อว่าภายในปีนี้จะสามารถเปิดประมูลโครงการใหญ่ในอีอีซีได้อย่างน้อย 2 โครงการคือ โครงการในอู่ตะเภา ซึ่งในส่วนของโครงการศูนย์ซ่อมสร้างอากาศยาน บริษัทการบินไทยก็มีการหารือกับทางกลุ่มแอร์บัสอย่างต่อเนื่อง น่าจะเริ่มดำเนินโครงการได้เร็วๆนี้ และอีกโครงการคือการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟสที่ 3 ส่วนรถไฟความเร็วสูงนั้นคาดว่าจะเปิดประมูลได้ต้นปี 2561
“การเริ่มเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ในอีอีซี เชื่อว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้”
ทั้งนี้ ในการผลักดันโครงการอีอีซีของรัฐบาล ได้มีการเร่งรัด 5 โครงการสำคัญให้เกิดขึ้นก่อนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนว่าอีอีซีจะเกิดขึ้นและมีความต่อเนื่องคือ 1.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา วงเงิน 200,000 ล้านบาท ซึ่งในระยะ 5 ปีแรก จะต้องเพิ่มอัตราผู้โดยสารจาก 3 ล้านคนเป็น 15 ล้านคน และรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านล้านคนภาย 15 ปีข้างหน้า 2.โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง เชื่อมโยงสนามบินพาณิชย์ 3 แห่ง ได้แก่สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา วงเงินลงทุน 158,000 ล้านบาท 3.โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 วงเงิน 88,000 ล้านบาท 4.โครงการรถไฟทางคู่ เชื่อมโยงท่าเรือ 3 แห่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าทางราง วงเงิน 64,300 ล้านบาท และ 5.โครงการพัฒนาเมืองใหม่ในพื้นที่ 3 จังหวัด เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งในปีนี้จะต้องได้ข้อสรุปเรื่องพื้นที่และการจัดรูปที่ดิน ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนที่ต่อเนื่องรวม 400,000 ล้านบาท
นอกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ได้มีการประเมินว่าเอกชนจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายประมาณ 500,000 ล้านบาท และเกิดการท่องเที่ยวลงทุน 200,000 ล้านบาท.